วิธีฝึกสุนัขกับเด็กให้อยู่ร่วมกันได้ บ้านไหนมีเบบี๋ต้องอ่าน!

 
 
 
ครอบครัวโซนเอเชียส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อบ้านมีเด็ก จะต้องเอาสุนัขไปเลี้ยงนอกบ้าน หรือบางบ้านถึงกับยกสุนัขให้กับคนอื่นดูแล เพราะคิดว่าการเลี้ยงสุนัขอยู่ในบ้านเดียวกับเด็กๆนั้นจะทำให้เด็กเป็นภูมิแพ้หรืออาจจะทำให้เด็กเป็นอันตรายได้

หากลองสังเกตุดูครอบครัวในแถบยุโรปหรืออเมริกา เรามักจะสังเกตุเห็นได้บ่อยๆในหนังหรือคลิปวีดีโอที่เด็กฝรั่งมักจะมีความใกล้ชิดกับสุนัขของเขาอย่าแนบแน่น ทำไมประเทศแถบยุโรปเขาถึงกล้าที่จะปล่อยให้เด็กๆอยู่ในบ้านเดียวกับสุนัข และถ้าเราอยากจะให้เด็กและสุนัขของเราได้อยู่ร่วมกันแบบนั้นบ้าง เราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร วันนี้โจโจ้เฮ้ามีเคล็ดลับฝึกสุนัขและเด็กให้อยู่ร่วมกันมาฝากค่ะ

 
 
 
 

ปูพื้นฐานให้สุนัขคุ้นชินตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์

หลายคนอาจจะคิดว่าหากที่บ้านกำลังมีเบบี๋เป็นสมาชิกใหม่เข้ามา สุนัขอาจจะทำอันตรายเด็กได้ จริงๆแล้วสุนัขจะได้กลิ่นของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลยล่ะค่ะ ระหว่างที่คุณแม่ตั้งครรภ์ พยายามพูดกับสุนัขโดยปูพื้นให้เขารู้สึกว่าต้องช่วยดูแล ช่วยปกป้อง หรือมีส่วนร่วมกับการดูแลเด็กเป็นประจำ หากเขามีอาการก้าวร้าวในช่วงที่เราตั้งครรภ์ ให้ตักเตือนเขาเป็นระยะ
 
 
 
 

สร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กๆด้วยสภาพแวดล้อมที่เรียนรู้กลิ่นซึ่งกันและกันได้

หลังจากที่คุณแม่คลอดแล้ว เมื่อพาเด็กกลับมาที่บ้านครั้งแรก ในช่วงแรกลองให้สุนัขและเด็กอยู่ห่างกันสักเล็กน้อยเช่น เด็กอาจจะอยู่ชั้นสอง และให้สุนัขอยู่ชั้นหนึ่ง หรือหากใครที่มีบ้านเป็นแบบชั้นเดียว อาจจะให้สุนัขและเด็กอยู่ชั้นหนึ่งด้วยกัน แต่แยกโซนกันอย่างชัดเจนและห่างไกล เพื่อให้เขาได้กลิ่นของกันและกัน ละเพื่อให้เด็กสร้างภูมิคุ้มกันที่จะอยู่กับสุนัขได้ ที่สำคัญอย่าลืมหมั่นอาบน้ำให้สุนัขอาทิตย์ละครั้งเพื่อสร้างสุขอนามัยที่ดีเมื่อเด็กและสุนัขต้องอยู่ด้วยกันนะคะ หลังจากช่วงหนึ่งเดือนไปแล้วลองขยับโซนมาใกล้ห้องที่เลี้ยงเด็กมากขึ้น หากเด็กไม่มีอาการจามหรือแพ้ ให้ลองปรับระยะใกล้ขึ้นตามลำดับเพื่อให้เด็กมีภูมิต้านทานมากขึ้น ไม่แพ้ขนสุนัข นอกจากนี้ควรให้สุนัขดมเสื้อผ้าหรือของใช้ของเด็กบ่อยๆ และฝึกให้เขาเคารพ เช่น สั่งให้นั่ง หมอบ หรือนอนตะแคง เมื่อได้กลิ่นเสื้อผ้าหรือของใช้ของเด็ก จะช่วยให้สุนัขคุ้นชินกับเด็กมากยิ่งขึ้น หากสุนัขมีอาการฟุตฟิต หรือ จะงับ / เหวี่ยง ให้เราฉกที่คอ หรือสะโพก

 
 
 
 

ค่อยๆกระชับระยะความใกล้ชิดโดยสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างสุนัขกับเด็ก

ในช่วงที่เด็กอายุ 2-3 เดือน เป็นช่วงที่เราสามารถปรับให้สุนัขเริ่มเข้าใกล้เด็กได้มากขึ้น โดยการพาสุนัขเข้าใกล้เด็กจะต้องใส่สายจูงสุนัขเสมอ เพื่อที่เราจะสามารถควบคุมสุนัขได้ทันหากสุนัขเกิดพุ่งเข้าหาเด็ก เมื่อเริ่มให้สุนัขเข้าใกล้เด็ก หากสุนัขสงบนิ่งดี ไม่มีอาการกระโจน หรือตื่นเต้น ค่อยๆขยับพาสุนัขเข้าใกล้เด็กทีละก้าว แต่หากสุนัขมีอาการกระโจน ให้เราพาสุนัขถอยออกมาหนึ่งก้าว เมื่อสุนัขเข้าใกล้เด็กมากๆจึงค่อยกดก้นลงเพื่อให้สุนัขนั่ง เมื่อสุนัขนิ่ง ค่อยๆให้เขาหมอบ และคอยดูจนแน่ในว่าสุนัขผ่อนคลายและไม่ตื่นเต้น ให้พาเด็กเข้ามาให้เขาดม ค่อยๆปล่อยให้เข้าใกล้ สั่งให้สุนัขนอนตะแคง ท่านี้จะทำให้น้องหมาเคารพเด็กมากขึ้น และช่วยให้เด็กรู้สึกดีกับสุนัขด้วย ให้หมั่นอาบน้ำให้น้องหมา ถ้าเป็นไปได้ควรแปรงฟันให้สุนัขด้วย

 
 
 
 

ลดการสร้างสิ่งเร้าด้วยเสียงกรีดร้องของเด็ก

ในบางครั้งเราเองก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่เด็มีอาการกรีดร้อง หรือ กรี๊ดเสียงดัง อันเนื่องมาจากอาการหิว โกรธ หรือไม่พอใจ สุนัขบางสายพันธุ์มีความใจเย็น สุภาพ อาจจะไม่มีปัญหากับอาการกรีดร้องของเด็กๆ แต่สุนัขบางสายพันธุ์อาจจะรู้สึกรำคาญได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากให้เด็กและสุนัขอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข นอกจากการฝึกสุนัขแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราลืมไม่ได้เลยก็คือการฝึกฝนเด็กนั่นเองค่ะ เราสามารถค่อยๆพูด ค่อยๆอธิบายให้เขาหยุดกรีดร้อง คุยด้วยเหตุผล ค่อยทำไปนะคะ เพราะช่วงแรกๆเด็กอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ต่อไปเขาจะค่อยเข้าใจมากขึ้น

เห็นไหมล่ะคะ จริงๆแล้วสุนัขกับเด็กสามารถอยู่ร่วมกันได้หากเราเข้าใจและฝึกฝนเขาทั้งสอง ครูโจอี้หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เจ้าของสุนัขที่กำลังจะมีสมาชิกใหม่เป็นเบี๋เข้ามาในบ้านจะสามารถสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและให้ความสุขกับสมาชิกใหม่และสุนัขไปพร้อมๆกันได้ และครูโจอี้ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยลดจำนวนสุนัขที่โดนทอดทิ้งเพราะเจ้าของคิดว่าไม่สามารถเลี้ยงสุนัขในบ้านที่มีเด็กลงได้ไม่มากก็น้อย แต่สำหรับใครที่ยังไม่ได้เลี้ยงสุนัข และมีแพลนว่าจะต้องมีสุนัขและเด็กในบ้านหลังเดียวกัน ติดตามบทความ วิธีเลือกสายพันธุ์สุนัขที่เป็นมิตรได้ที่นี่ค่ะ
 

Pin It on Pinterest